สิ่งที่มักจะมีควบคู่กับธีมหน้าหนาว คงจะหนีไม่พ้น “ผิวแตก” แน่นอนครับ เพราะอากาศที่เย็นลงก็มักจะทำให้ใครหลายคนผิวแตก แถมยังคันที่ผิวหนังอีกด้วยครับ และแน่นอนว่าทุกคนก็คงกำลังมองหาครีมบำรุงผิวที่จะช่วยให้ผิวไม่แตกกันอยุ่แน่ๆ

  • แต่บอกเลยว่าที่นี่ “เราไม่มีขายครับ” !!

แต่เราจะมาบอกต้นเหตุของผิวที่แตกว่าควรจะรักษาอย่างไรถึงจะเหมาะสม และทุกคนก็สามารถไปตามหาครีมบำรุงผิวได้ตามที่ต้องการเลยครับ

ผิวขาดน้ำ

สาเหตุของผิวแตก

  1. การสูญเสียความชุ่มชื้น (Loss of Hydration)
  • ปัจจัยกระตุ้น
    • สภาพแวดล้อมที่แห้ง (เช่น ฤดูหนาวหรือห้องแอร์)
    • การล้างมือบ่อย หรือการอาบน้ำร้อน
    • การสัมผัสสารเคมีที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันธรรมชาติ
  • ผลกระทบ
    • ผิวหนังชั้นบน (Stratum Corneum) ซึ่งเป็นเกราะป้องกันความชุ่มชื้นสูญเสียน้ำออกไป
    • ไขมันธรรมชาติที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นลดลง ทำให้ผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น

เรียกง่ายๆว่า พอผิวของเราไม่สามารถยืดหยุ่นแบบยืดหดไปๆมาๆได้ มันก็เลยแตกซะเลยครับ เหมือนกับดินนั่นแหละครับ

 

  1. การอ่อนแอของชั้นป้องกันผิวหนัง (Barrier Dysfunction)
  • บทบาทของชั้น Stratum Corneum
    ชั้น Stratum Corneum มีเซลล์ผิว (Corneocytes) ที่เรียงตัวเป็นโครงสร้าง พร้อมกับลิปิดระหว่างเซลล์เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
    • เมื่อเกิดความแห้ง ลิปิดที่เชื่อมเซลล์จะลดลง ทำให้โครงสร้างชั้นป้องกันนี้แตกตัวง่ายขึ้น
  • ผลกระทบ
    • ผิวไม่สามารถกักเก็บน้ำและป้องกันสารระคายเคืองได้
    • เกิดความอักเสบและระคายเคืองในระดับไมโคร

อ่อนแอก็มักจะแพ้ไป ไม่เกินจริงเลยครับคำนี้ สำหรับคนที่มีความอ่อนแอของชั้นป้องกันผิวหนัง ก็ยิ่งทำให้ผิวแห้งเข้าไปใหญ่ครับ พอแห้งมากๆก็แตกกระจาย

 

  1. การสูญเสียความยืดหยุ่น (Loss of Elasticity)
  • การเปลี่ยนแปลงในชั้น Dermis
    ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) มีคอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและคืนตัวได้ดี
    • การขาดน้ำและการเสื่อมของเซลล์ผิวทำให้โครงสร้างเหล่านี้อ่อนแอลง
  • ผลกระทบ
    • ผิวหนังไม่สามารถยืดหยุ่นหรือปรับตัวได้ดีต่อการยืด-หด ทำให้เกิดรอยแตกเมื่อมีการยืดตัวอย่างรวดเร็ว เช่น การตั้งครรภ์ น้ำหนักเพิ่ม-ลด

มาต่อกันที่ความยืดหยุ่นครับ บางทีที่อาการเย็นลง หรือมีการขยายของผิวหนังก็อาจทำให้ความยืดหยุ่นที่มีอยู่ปกติไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ครับ เมื่อมันไม่ไหวแล้วการแตกก็เลยมาเยือนผิวของเราครับ

 

  1. การเกิดรอยแยกและการอักเสบ (Formation of Cracks and Inflammation)
  • รอยแยกในผิวหนัง
    • เมื่อผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นจนถึงจุดวิกฤต จะเกิดรอยแยกเล็ก ๆ บนผิวหนัง ซึ่งอาจขยายใหญ่ขึ้นได้
    • หากรอยแตกนี้ลึกถึงชั้น Epidermis หรือ Dermis อาจรู้สึกเจ็บและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • การตอบสนองของร่างกาย
    • ร่างกายจะส่งสัญญาณอักเสบเพื่อฟื้นฟูผิว เช่น การหลั่งสาร Cytokines
    • หากการฟื้นฟูช้าหรือถูกกระตุ้นซ้ำ เช่น สารเคมีหรือการขัดผิวแรง อาจทำให้รอยแตกเลวร้ายลง

การอักเสบไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นครับ เพราะเนื่องจากการอักเสบไม่ดีต่อร่างกาย และเมื่ออักเสบทุกอย่างรุนแรงไปหมดครับ เพียงแค่เจออะไรนิดหน่อยก็อาจจะทำให้ผิวแตกได้แล้ว บางครั้งที่อากาศไม่หนาว แต่ผิวมีการแตก ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่า ร่างกายเราอาจมีการอักเสบครับ

 

  1. การเกิดปัญหาซ้ำซ้อนในระยะยาว (Chronic Skin Damage)
  • หากไม่ได้รับการดูแล
    • การแตกซ้ำ ๆ ในบริเวณเดิมอาจทำให้เกิดรอยแผลเรื้อรัง
    • ผิวอาจสูญเสียความสามารถในการฟื้นตัวเอง ทำให้แห้งและหยาบกร้านเรื้อรัง
  • ตัวอย่างพื้นที่เสี่ยง
    • ส้นเท้า: เนื่องจากน้ำหนักตัวกดทับ
    • ข้อศอกและเข่า: พื้นที่ที่เกิดการเสียดสีบ่อย

ส้นเท้าแตกที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยเป็น อย่างที่บอกไปครับว่าเมื่อร่างกายของเราไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนตามปกติ มันก็จะแตกครับ และส้นเท้าของเรา ถ้าเราลงน้ำหนักมันก็จะแบนแล้วก็ขยาย พอยกมันก็หด เป็นแบบนี้ซ้ำเลยเป็นปัญหาที่มาของส้นเท้าแตกครับ

ผิวแตก

การแก้ไขและป้องกันในระดับกระบวนการ

  1. ฟื้นฟูชั้นป้องกันผิวหนัง (Barrier Repair)
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ (Ceramide) หรือไขมันธรรมชาติ
    • หลีกเลี่ยงการใช้สบู่แรง
  2. เพิ่มความชุ่มชื้น (Rehydration)
    • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีน ไฮยาลูรอนิก แอซิด
  3. ส่งเสริมการสร้างเซลล์ใหม่
    • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน A, C, หรือ E เพื่อฟื้นฟูผิว
  4. ลดการอักเสบ (Anti-inflammatory)
    • ใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต คาลาไมน์ หรืออโลเวร่า

สรุป

สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือการป้องกันการสูญเสียน้ำ และความชุ่มชื่นออกจากร่างกายกครับ อย่างน้อยผิวที่มีความชุ่มชื่นก็จะยืดหยุ่นได้ดีกว่า และแข็งแรงกว่า ปัญหาผิวที่แตกก็จะไม่สามารถมากวนใจเราได้แล้วครับ