สิ่งที่มักจะมีควบคู่กับธีมหน้าหนาว คงจะหนีไม่พ้น “ผิวแตก” แน่นอนครับ เพราะอากาศที่เย็นลงก็มักจะทำให้ใครหลายคนผิวแตก แถมยังคันที่ผิวหนังอีกด้วยครับ และแน่นอนว่าทุกคนก็คงกำลังมองหาครีมบำรุงผิวที่จะช่วยให้ผิวไม่แตกกันอยุ่แน่ๆ
- แต่บอกเลยว่าที่นี่ “เราไม่มีขายครับ” !!
แต่เราจะมาบอกต้นเหตุของผิวที่แตกว่าควรจะรักษาอย่างไรถึงจะเหมาะสม และทุกคนก็สามารถไปตามหาครีมบำรุงผิวได้ตามที่ต้องการเลยครับ
สาเหตุของผิวแตก
- การสูญเสียความชุ่มชื้น (Loss of Hydration)
- ปัจจัยกระตุ้น
- สภาพแวดล้อมที่แห้ง (เช่น ฤดูหนาวหรือห้องแอร์)
- การล้างมือบ่อย หรือการอาบน้ำร้อน
- การสัมผัสสารเคมีที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันธรรมชาติ
- ผลกระทบ
- ผิวหนังชั้นบน (Stratum Corneum) ซึ่งเป็นเกราะป้องกันความชุ่มชื้นสูญเสียน้ำออกไป
- ไขมันธรรมชาติที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นลดลง ทำให้ผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น
เรียกง่ายๆว่า พอผิวของเราไม่สามารถยืดหยุ่นแบบยืดหดไปๆมาๆได้ มันก็เลยแตกซะเลยครับ เหมือนกับดินนั่นแหละครับ
- การอ่อนแอของชั้นป้องกันผิวหนัง (Barrier Dysfunction)
- บทบาทของชั้น Stratum Corneum
ชั้น Stratum Corneum มีเซลล์ผิว (Corneocytes) ที่เรียงตัวเป็นโครงสร้าง พร้อมกับลิปิดระหว่างเซลล์เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น- เมื่อเกิดความแห้ง ลิปิดที่เชื่อมเซลล์จะลดลง ทำให้โครงสร้างชั้นป้องกันนี้แตกตัวง่ายขึ้น
- ผลกระทบ
- ผิวไม่สามารถกักเก็บน้ำและป้องกันสารระคายเคืองได้
- เกิดความอักเสบและระคายเคืองในระดับไมโคร
อ่อนแอก็มักจะแพ้ไป ไม่เกินจริงเลยครับคำนี้ สำหรับคนที่มีความอ่อนแอของชั้นป้องกันผิวหนัง ก็ยิ่งทำให้ผิวแห้งเข้าไปใหญ่ครับ พอแห้งมากๆก็แตกกระจาย
- การสูญเสียความยืดหยุ่น (Loss of Elasticity)
- การเปลี่ยนแปลงในชั้น Dermis
ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) มีคอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและคืนตัวได้ดี- การขาดน้ำและการเสื่อมของเซลล์ผิวทำให้โครงสร้างเหล่านี้อ่อนแอลง
- ผลกระทบ
- ผิวหนังไม่สามารถยืดหยุ่นหรือปรับตัวได้ดีต่อการยืด-หด ทำให้เกิดรอยแตกเมื่อมีการยืดตัวอย่างรวดเร็ว เช่น การตั้งครรภ์ น้ำหนักเพิ่ม-ลด
มาต่อกันที่ความยืดหยุ่นครับ บางทีที่อาการเย็นลง หรือมีการขยายของผิวหนังก็อาจทำให้ความยืดหยุ่นที่มีอยู่ปกติไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ครับ เมื่อมันไม่ไหวแล้วการแตกก็เลยมาเยือนผิวของเราครับ
- การเกิดรอยแยกและการอักเสบ (Formation of Cracks and Inflammation)
- รอยแยกในผิวหนัง
- เมื่อผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นจนถึงจุดวิกฤต จะเกิดรอยแยกเล็ก ๆ บนผิวหนัง ซึ่งอาจขยายใหญ่ขึ้นได้
- หากรอยแตกนี้ลึกถึงชั้น Epidermis หรือ Dermis อาจรู้สึกเจ็บและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- การตอบสนองของร่างกาย
- ร่างกายจะส่งสัญญาณอักเสบเพื่อฟื้นฟูผิว เช่น การหลั่งสาร Cytokines
- หากการฟื้นฟูช้าหรือถูกกระตุ้นซ้ำ เช่น สารเคมีหรือการขัดผิวแรง อาจทำให้รอยแตกเลวร้ายลง
การอักเสบไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นครับ เพราะเนื่องจากการอักเสบไม่ดีต่อร่างกาย และเมื่ออักเสบทุกอย่างรุนแรงไปหมดครับ เพียงแค่เจออะไรนิดหน่อยก็อาจจะทำให้ผิวแตกได้แล้ว บางครั้งที่อากาศไม่หนาว แต่ผิวมีการแตก ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่า ร่างกายเราอาจมีการอักเสบครับ
- การเกิดปัญหาซ้ำซ้อนในระยะยาว (Chronic Skin Damage)
- หากไม่ได้รับการดูแล
- การแตกซ้ำ ๆ ในบริเวณเดิมอาจทำให้เกิดรอยแผลเรื้อรัง
- ผิวอาจสูญเสียความสามารถในการฟื้นตัวเอง ทำให้แห้งและหยาบกร้านเรื้อรัง
- ตัวอย่างพื้นที่เสี่ยง
- ส้นเท้า: เนื่องจากน้ำหนักตัวกดทับ
- ข้อศอกและเข่า: พื้นที่ที่เกิดการเสียดสีบ่อย
ส้นเท้าแตกที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยเป็น อย่างที่บอกไปครับว่าเมื่อร่างกายของเราไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนตามปกติ มันก็จะแตกครับ และส้นเท้าของเรา ถ้าเราลงน้ำหนักมันก็จะแบนแล้วก็ขยาย พอยกมันก็หด เป็นแบบนี้ซ้ำเลยเป็นปัญหาที่มาของส้นเท้าแตกครับ
การแก้ไขและป้องกันในระดับกระบวนการ
- ฟื้นฟูชั้นป้องกันผิวหนัง (Barrier Repair)
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ (Ceramide) หรือไขมันธรรมชาติ
- หลีกเลี่ยงการใช้สบู่แรง
- เพิ่มความชุ่มชื้น (Rehydration)
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีน ไฮยาลูรอนิก แอซิด
- ส่งเสริมการสร้างเซลล์ใหม่
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน A, C, หรือ E เพื่อฟื้นฟูผิว
- ลดการอักเสบ (Anti-inflammatory)
- ใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของข้าวโอ๊ต คาลาไมน์ หรืออโลเวร่า
สรุป
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือการป้องกันการสูญเสียน้ำ และความชุ่มชื่นออกจากร่างกายกครับ อย่างน้อยผิวที่มีความชุ่มชื่นก็จะยืดหยุ่นได้ดีกว่า และแข็งแรงกว่า ปัญหาผิวที่แตกก็จะไม่สามารถมากวนใจเราได้แล้วครับ